Friday, May 30, 2008

พูด

บางคนพูดเพราะใจสั่งให้พูด
บางคนพูดเพราะชอบที่จะพูด
บางคนพูดเพราะเรื่องจำต้องพูด
บางคนพูดเพราะคิดแล้วจึงได้พูด
....แต่ทุกคนเมื่อพูดแล้ว คำพูดคือตัวตนของผู้พูด

Friday, April 18, 2008

ยุคข้าวยาก หมากแพง พ่อค้าคนกลางรวย

ลุงวรรณที่รัก

วันก่อนหนูไปบองมาเช่มาค่ะ เห็นราคาข้าวสารแล้วใจหาย (แต่ยังหายใจอยู่นะคะ) ราคาข้าวหอมอย่างที่หนูเคยซื้ออยู่โลละ 24 บาท ขึ้นเป็น 40 ข้าวเส้าไห้จากโลละ 17 บาท ขึ้นเป็น 34 อะไรมันจะขนาดนั้น ตัดใจค่ะไม่ซื้อขึ้นราคาแพงเกินกว่าเหตุ เดินเข้าร้านโครงการหลวงซื้อข้าวกล้องหอมมะลิแบบถุง 2 กิโล ราคา 60 บาท หยิบนมสดอีก 1 ขวดใหญ่ 1 ลิตรเต็มค่ะ ไม่เหมือนยี่ห้ออื่นที่ทำขวดใหญ่แต่จริงๆ มีแค่ 800 ml. ราคา 40 บาท ส่วนนมสดของสวนจิตรฯ 33 บาทเท่านั้น (สดมั่นใจไม่ผสมนมผง) เป็นอันว่ารายการซื้อของครั้งนี้ของหนูประหยัดเงินไปได้เกือบ 30 บาท แถมยังสบายใจว่าเงินที่จ่ายไปให้โครงการหลวงจะถูกนำใช้พัฒนาการเกษตร ในส่วนโครงการพระราชดำริต่างๆ เป็นประโยชน์กับประเทศจริงๆ ไม่เหมือนกับของข้างนอกที่แพงขึ้นเอากำไรไปให้พ่อค้าคนกลาง (เพราะข้าวที่ชาวนาขายได้ราคาดีๆ ป่านนี้ยังอยู่ที่โรงสีค่ะ ส่วนที่มาขายแพงๆ ตอนนี้เป็นข้าวที่พ่อค้าซื้อมาถูกๆ แล้วมาเกาะกระแสขึ้นราคา หนูรับไม่ได้จริงๆ)
งวดนี้ประหยัดได้หลายบาท ต้องให้รางวัลตัวเองหน่อยนะคะ หยิบไอติมรสมินต์ของสวนจิตร (1 ถ้วย 12 บาท) อร่อยมากๆ หอมหวานเย็นชื่นใจ เหมือนกับร้านของในหลวงที่พึ่งให้เย็นใจในวันที่ของแพง

Monday, April 14, 2008

เรื่องเล่าวันสงกรานต์

ลุงวรรณที่รัก

ช่วงหยุดหลายวันนี้หนูเลยถือโอกาสประหยัดน้ำมันรถคือไม่ออกไปไหน เพิ่งวันนี้เช้าแหละค่ะที่เข้าไปบ้านแม่มา (ไปรดน้ำขอพรพ่อคนเดียว ส่วนแม่ยังไม่กลับมาค่ะ) ทำต้มฟักกับไก่ กับกุ้งอบวุ้นเส้นไปให้พ่อทานค่ะ (เมนูหลังนี้น้องสาวขอมา บอกว่าข้าวแพงจะกินวุ้นเส้นแทนข้าว) จากบ้านแม่ก็เลยไปไหว้อัฐิคุณยายที่วัดเจ้าอาม บางขุนนนท์ ส่วนอัฐิของคุณตากับคุณทวดที่มาจากสมุทรสงครามเก็บไว้ที่วัดประยูร เชิงสะพานพุทธ (พอย้ายมาจากสมุทรสงครามคุณตาหนูมาปลูกบ้านที่วงเวียนเล็ก... เดี่ยวนี้ไม่มีแล้วนะคะ) ปีนี้หนูไม่ได้ไปไหว้คุณตาเพราะขับรถไปเองไม่ถูกค่ะ (ปรกติแม่จะบอกทาง) เมื่อคืนก่อนหนูยังฝันถึงคุณยายกับคุณป้าณี (เสียไปแล้วทั้งคู่) มาให้หนูช่วยตามหาญาติของท่านให้หน่อยบอกว่า มีญาติผู้หญิงคนหนึ่งลงไปเล่นน้ำแล้วหายไปสงสัยว่าจะจมน้ำ หนูออกไปช่วบหาเจอศพลอยมาติดอยู่ที่ตอม่อสะพาน (มาเล่าตอนนี้กลัวๆ เหมือนกันนะคะ แต่ในฝันไม่ยักกลัว) ต้องบอกว่าวันนี้หนูเลยตั้งใจไปไหว้คุณยายมากเป็นพิเศษ

ก็คงเป็นเพราะไม่ได้ไปไหนหลายวัน เมื่อเช้าพอไปถึงบ้านแม่หนูสังเกตุเห็นว่ายางรถหนูข้างหน้าซ้ายอ่อนมาก ก่อนไปวัดเลยแวะเติมลมเข้าไปหน่อย (ไม่เติมแข็งมากเพราะยังไม่แน่ใจว่ายางเป็นอะไร) มันก้อ..แบบว่า..โอเคนะคะ (ภาษาวัยรุ่นหน่อย) เสร็จธุระเรียบร้อยก่อนเข้าบ้านหนูเลยไป บี-ควิก คลองสี่มาค่ะ ไปให้เค้าเช็คหน่อยว่ายางรั่วตรงไหนหรึเปล่า ที่ไปที่นั่นเพราะตอนเปลี่ยนยางเค้าว่าถ้ายางรั่วหรือมีปัญหาเค้าบริการฟรีค่ะ ผลปรากฎว่าไม่เป็นอะไรช่างสันนิฐาน(เดา) ว่าอาจเป็นเพราะจอดไว้หลายวันยางอาจซึมได้ (หนูฟังก็ไม่ว่าอะไร ค่ะค่ะ..ไปตามเรื่อง เห็นเค้าต้องใจมาก) ค่อยสบายใจหน่อย ไม่อยากวางใจค่ะ...นึกว่าคุณยายอาจมาเตือนก็ได้นะค่ะ คิดในแง่ดีปู่ย่าตายายมักเป็นห่วงลูกหลานเสมอ ท่านคงไม่อยากให้หนูฝันน่ากลัวขนาดนั้นถ้าไม่จำเป็นจริงๆ

สงกรานต์นี้เลยมีเรื่องมาให้ลุงอ่าน

Friday, December 7, 2007

เพื่อนเก่ามาบ้าน




ลุงวรรณค่ะตั้งแต่หนูย้ายมาอยู่บ้านที่รังสิต หนูมักแหงนหน้าดูท้องฟ้าแทบทุกคืนเวลาออกมาปิดประตูบ้าน คอยมองหาดาวดวงโตโตที่เคยเห็น ตอนเด็กๆ หนูอยู่บ้านที่บางขุนนนท์ช่วงนั้นยังไม่มีหมู่บ้านหรือถนนตัดผ่านมาก จากเตียงนอนหนูยังมองเห็นดาวหลายดวงเวลาจ้องมองนานๆ จะดูเหมือนดาวเป็นเม็ดรีๆ หมุนเร็วๆ มีแสงเป็นประกายออกมา แต่พอโตมาก็ไม่ค่อยได้เห็นอีก จำได้ว่าครั้งหนึ่งไปเที่ยวเมืองกาญจฯ ตกค่ำเห็นดาวเต็มฟ้าเลยค่ะ ดวงใหญ่มากด้วย ใหญ่จนรู้สึกว่าถ้าเอื้อมมือออกไปพ้นระเบียงจะหยิบดาวลงมาได้ หลังจากนั้นเวลาไปต่างจังหวัดพอตกกลางคืนหนูจะแหงนหน้ามองหาดาวดวงโตๆ อีก แต่ก็ไม่เคยเห็นอีกเลย

เมื่อคืนก่อนวันเฉลิมที่บ้านหนูไฟดับ อยู่ในบ้านก็ไม่รู้จะทำอะไร เลยออกมายืนรับลมหน้าบ้าน แล้วก็อดไม่ได้ที่จะแหงนหน้ามองฟ้าเหมือนกับที่เคยทำ คืนนี้ดาวเต็มฟ้าเลยค่ะดวงโตๆ ทั้งนั้นเลย เยอะขนาดมองเห็นดาวจระเข้หมดตัวเลยค่ะ หนูรู้สึกเหมือนเจอเพื่อนเก่าที่หายหน้าไปนาน มองดูอยู่นานมากอยากจะจดจำภาพดาวทั้งหมดเก็บไว้ให้มากที่สุดค่ะ เพราะไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะเจอกันอีก บางครั้งสิ่งที่เราคิดถึงก็อยู่ใกล้เราแค่เอื้อมแต่ฝุ่นควันเมฆหมอกบางๆ ก็กั้นไว้จนรู้สึกเหมือนอยู่ห่างไกลแสนไกลนะคะ วันไหนลุงวรรณไปเที่ยวเมืองกาญจฯ ชวนหนูไปด้วยนะคะหนูอยากไปเจอเพื่อนเก่าอีก

ภาพจาก วิชาการ.คอม

Sunday, August 26, 2007

เส้นใหญ่เปลี่ยนไป


ลุงวรรณที่รัก

วันนี้หนูมีเรื่องเศร้าใจเล็กๆ จะเล่าให้พี่ฟัง โดยปกติแล้วหนูเป็นคนชอบทานก๊วยเตี๊ยวหมูแบบน้ำใส ที่มีเครื่องเยอะๆ ทั้งตับ ไส้หมู เนื้อหมูหันเป็นแผ่นๆ หมูสับเป็นก้อนๆ พร้อมใบตำลึง น้ำซุปใสๆ ทานกับเส้นใหญ่แล้วอร่อยมากค่ะ ตอนเด็กหนูทานบ่อยเพราะในซอยบ้านที่บางขุนนนท์มีหลายร้าน ...และแล้วเมื่อวันก่อนเรื่องเศร้าก็เกิดกับหนูจนได้ "เส้นใหญ่" ที่หนูคุ้นเคยมันเปลี่ยนไปจนจำกันไม่ได้ จากเส้นใหญ่ที่เคยทิ้งไว้นานหน่อยก็จะนิ่ม น้ำก๊วยเตี๊ยวจะน้อยลง (ที่แม่หนูเค้าว่าเส้นมันอืด) แต่มันก็ยังทานได้นะคะ ยังเป็นเส้นขาวๆ(เรียกว่ายังมีเส้นนะค่ะ) แต่เดี๋ยวนี้เส้นใหญ่มันจะหายตัวไปในทันที (หายไปอย่างไม่มีร่องรอย) ละลายไปกับน้ำก๊วยเตี๊ยว หมดกันเส้นใหญ่..เพื่อนหนูยามหิว (คือซื้อมาวางไว้ให้อืด มันจะได้เยอะขึ้นไงค่ะ)
โธ่.... แต่ก่อนเวลาไปเบ่งกับใคร เค้าก็กลัวว่าเราเส้นหญ่าย.... เดี๋ยวนี้โดนน้ำหน่อยกลับไม่เหลือซาก มิน่าล่ะถึงเห็นแต่เกาเหลาเต็มไปหมด อดีตคงมาจากพวกเส้นหญ่ายแน่เลยค่ะ....


ติ๊ดตี่

Monday, April 9, 2007

ขยะทำเงิน


ลุงวรรณค่ะ สุดสัปดาห์ที่ผ่านมามีหลายฤดูนะคะ กลางวันอากาศร้อนมากเย็นลงมีพายุฝน ตกค่ำอากาศเย็น หนูเลยหาจังหวะหนีลุงวรรณไปเที่ยวไม่ได้เลยค่ะ ต้องอยู่บ้าน 3 วัน (จริงๆ คือป่วยเป็นหวัด ไอกระหน่ำ ไม่กล้าออกไปไหน) เพื่อเป็นการต้อนรับปีหมูที่กำลังมาถึง หนูเลยจัดเก็บของ (ที่คิดว่าจะ..)ใช้ มาเตรียมทิ้ง มีขวดแก้ว ขวดพลาสติก เอกสารเยอะไปหมด นึกขึ้นได้ว่าวันก่อนป้าแถวบ้านมาถามว่ามีของเก่าขายบ้างหรึเปล่า วันนั้นหนูเก็บกระดาษแถวหน้าบ้านได้ 14 กิโล ได้ตังค์มา 44 บาท (ยังเก็บใส่กระปุกไว้ซื้อรถใหม่) อย่าเพิ่งคิดว่าบ้านหนูรกมากนะคะถึงมีกระดาษมากขนาดนั้น แต่หนูจะแยกไม่ทิ้งกระดาษ เช่น หนังสือพิมพ์ catalogของห้างค้าปลีกต่างชาติ(ที่ชอบมาเสียบไว้หน้าประตูรั่ว) โฆษณาอาหารจานด่วนแบบส่งถึงบ้าน ซองใบแจ้งหนี้(ที่มักมีใบปลิวโฆษณาติดมาด้วย) ปนไปกับขยะอื่นๆ จะแยกเก็บไว้ใต้โต๊ะวางทีวี ขยะพวกนี้ทำเป็นเงินได้นะคะ ยิ่งบ้านไหนอ่านหนังสือพิมพ์บ่อยๆ เดือนหนึ่งได้เยอะเลยค่ะ อย่าดูถูกเงินเล็กๆ น้อยๆ นะคะ คิดถึงเรื่องวันนั้นแล้วหนูมีแรงเก็บบ้าน บวกกับยอมตัดใจทิ้งของไปหลายอย่างเลยค่ะ

Friday, March 23, 2007

ช่างจำเป็น


ลุงวรรณที่รัก

เมื่อคืนหนูคิดว่าจะทำยังงัยกับแผ่นพลาสติกที่ลองใต้เครื่องดี เพราะที่ลุงแนะนำว่าให้ใช้พลาสติกอะไรก็ได้ หนูเลยมองๆ ดูรอบๆ บ้านมีขวดพลาสติกเยอะ เลยกะว่าถ้าเจอเหมาะๆ จะตัดมาปะให้เห็นถึงฝีมือช่างของหนู แต่ปัญหาคือหนูถอดน๊อตที่มันยังติดกับแผ่นรองเครื่องตอนหน้าไม่ได้ พูดง่ายๆ คือไม่มีประแจ สำหรับถอดน๊อต คิดไปคิดมาอีกที (ตามประสาคนมีหัวไว้คิด ) สรุปว่าหนูควรไปที่อู่ใกล้บ้านให้เค้าถอดให้ เพราะเค้าต้องมีประแจ เมื่อเช้าหนูเลยแวะอู่หน้าบ้านให้เค้าถอดให้ ทีแรกเค้าบอกว่าถ้าจะเปลี่ยนใหม่เลยก็ไม่แน่ใจว่าจะมีของรึเปล่า แนะนำว่าหนูควรไปที่ศูนย์นิสสัน หนูเลยว่าว่าคราวที่แล้วก็ไปทำที่ศูนย์ฯ ที่ศูนย์เค้าทำให้ฟรีด้วย (จริงๆ คิดรวมไปกับอย่างอื่น แต่ไม่บอก กลัวที่อู่นี้จะคิดตังค์) เหตุการณ์กลับเปลี่ยนไป พอช่างเค้าถอดมาดูเค้าบอกว่าแค่เปลี่ยนวงแหวนรองใหญ่ขึ้นก็พอ เพราะรูรอบๆ วงแหวนเดิมมันขาดไม่มาก
เป็นอันว่าหนูจ่ายค่าแรงเค้าไป 50 บาท ทุกอย่างแน่นเหมือนใหม่ เหตุการณ์นี้สอนให้รู้ว่า เรื่องราวใหญ่โตซับซ้อนสำหรับบางคน อย่างเป็นเรื่องแค่ขี้ผงสำหรับบางคนก็ได้ .... จึงเล่ามาให้ฟัง
ติ๊ดตี่

Tuesday, March 13, 2007

น้าเอกนั่งแอ้ค


น้านี่แกไปไหน แกชอบถ่ายรูปแอ้ค จนชาวต่างชาติคิดว่าเป็นดาราหนังจีน
(แต่กำลังจะบอกน้าเอกว่า เวลาถ่ายรูปน่ะ ถ้าหากแสงของฉากหลังหรือBackgroundพอดี แต่หน้าเราดำ ก็ให้ใช้แฟลชช่วยจะให้แสงที่ถ่ายหน้าเราหรือตัวเราก็พอดี ภาพจะออกมาสวยกว่า น้าเอกแกชอบถ่ายไปเรื่อยเปื่อย)

Monday, March 12, 2007

เที่ยวบาหลี (๓)การแสดง บารอง


ลุงวรรณที่รัก

เล่าต่อนะคะ วันที่สองเช้าเริ่มเที่ยวตั้งแต่แปดโมงครึ่ง Wayong เค้าพาไปดูการแสดงบารอง บารองเป็นสัตว์ครึ่งสิงโตกับหมูป่าในเทพนิยายของบาลีหน้าตาเหมือนรูปที่หนูแนบมาให้ดูนะจ๊ะ เป็นเรื่องเกี่ยวกับการต่อสู้กันระหว่างความดีกับความชั่ว ดูการรำของบาลีคล้ายๆ พม่าผสมกับแขก กลอกตาไปๆ มาๆ แต่ก็สวยดี ดูสักชั่วโมงได้ ตอนสายๆ ไปดูภูเขาไฟกันค่ะอากาศเย็นสบายมาก หนูว่าประมาณสัก 20 องศาได้ เห็นเป็นปล่องภูเขาไฟคู่ ปล่องใหญ่สงบลงแล้วส่วนปล่องเล็กเพิ่งระเบิดไปเมื่อไม่กี่ปีมานี้เอง ยังเห็นทางที่ลาวาไหลลงมาเป็นทางหินสีดำจนถึงทะเลสาบที่อยู่รอบๆ บนภูเขาไม่มีต้นไม้ขึ้นแล้วคะ แต่เชิงเขาก็พอมีอยู่บ้าง มีบ้านปลูกอยู่มากเหมือนกันคะ เราทานกลางวันกันบนนั้นคะ เป็นอาหารพื้นเมืองบาลี มีถั่วงอก ถั่วแขกลวก ราดด้วยน้ำเหมือนสลัดแขก (ขากลับเห็นชาวบ้านเค้าซื้อทานกับข้าวเกรียบ จากรถเข็นข้างทาง) แล้วก็มีสะเต๊ะปลา รสชาดเหมือนทอดมันปิ้ง กับปอเปี๊ยทอดแป้งที่ห่อของเค้าจะหนากว่าบ้านเรา แปลกๆ ดี ระหว่างทาง Wayong พาแวะไปดูสวนเหมือนท่องเที่ยวเชิงนิเวศ แต่ของเค้าเป็นสวนโกโก้ (ดูแล้วหนูชอบต้นลิ้นจี่ ต้นเงาะมากกว่าเพราะเก็บกินได้เลย) ในสวนเค้ามีโกโก้ให้ชิมด้วยนะคะอร่อยดี หนูกับอ.วันดีเลยซื้อมาคนละ 2 ห่อ (ไม่อยากบอกว่าโดนหลอกมาทั้งคู่เพราะพอกลับมาลองชงทาน รสชาดเหมือนเม็ดมะขามคั่ว สรุปว่าโดนหลอก ปานนี้มันคงปิดสวนเลี้ยงเหล้าแล้ว )

เที่ยวบาหลีกับน้าเอก (๒)

ลุงวรรณที่รัก

เมื่อวานหนูเล่าถึงตอนที่กำลังเดินไปวัดที่อยู่บนหน้าผา ทางเดินยาวประมาณ 1 กิโล เห็นจะได้ ตรงวัดมีลิงเยอะจริงๆ คะ หน้าตาเหมือนลิงเขาวังบ้านเราสงสัยจะเป็นญาติกัน ชอบอยู่ตามวัดบนเขาเหมือนกันด้วย หน้าตาวัดเขาดูเรียบๆ ไม่ใหญ่โตเหมือนบ้านเรานะคะ เจดีย์ใช้ไม้สร้างหลังคามุงแฝกแต่แฝกมุงหนามากสักฟุตได้คะ นักท่องเที่ยวเขาให้เดินดูรอบๆ ไม่ให้เข้าไปข้างในวัด (เป็นอย่างนี้ทุกวัดเลยคะ) หน้าประตูวัดเค้ามีเทพเจ้าอารักษ์ หน้าเป็นช้างตัวเป็นคน สลักด้วยหินทรายวางไว้สองข้างประตู ไกด์เค้าเล่าว่าที่บาลีจะมีวัดอยู่ 2 อย่าง อย่างแรกเป็นวัดของครอบครัวคือทุกครอบครัวจะมีวัดอยู่ในบริเวณบ้าน อย่างที่สองเป็นวัดของสาธารณะจะมีหมู่บ้านละ 1 วัด ซึ่งคนบาลีจะต้องไหว้เทพเจ้าทุกวัน โดยเอาพวกดอกไม้สดหลายๆ อย่าง ใส่กระทงใบจากวางไหว้ที่บูชา พอลงจากเขาแล้วก็ถึงเวลาอาหารเย็น เป็นอาหารทะเลเผาเยอะมาก มีทั้งกุ้ง ปลาหมึก ปลา หอยเผา ใส่กระด้งใหญ่ๆ ราดน้ำเผ็ดนิดๆ หวานหน่อยๆ อร่อยดีคะ (ลุงวรรณคงว่าเห็นชีวิตผู้อื่นเป็นสิ่งหอมหวานใช่ไหม๊ค่ะ ) นั่งริมทะเลดูพระอาทิตย์ตกดิน มองไปทางขวาเป็นสนามบินมองเห็นเครื่องบินลงด้วยคะเพราะหัว run way อยู่ติดทะเล แต่ไม่ได้ยินเสียงเครื่องบินเลยคะ ทานจนง่วงนอนมันมากเกินพอดี จากนั้นก็นั่งรถกลับพักที่โรงแรม เป็นอันจบวันแรกของการเดินทาง

กลับมานี้ที่บ้านเราต้นไม้รกมาก เย็นนี้หนูจะไปตัดอัญชันออกบ้างรู้สึกว่ามันเลื้อยขึ้นต้นจำปีแล้วคะ ช่วงนี้อากาศเปลี่ยนนะคะทั้งร้อนทั้งฝน ใส่เสื้อนอนนะคะเดี๋ยวเป็นหวัด

เที่ยวบาหลีกับน้าเอก




ลุงวรรณที่รัก

ตี่ส่งรูปที่ไปเที่ยวบาลีมาให้ดู วันแรกไปถึงตอนบ่ายๆ ไกด์มารับพาไปที่พักที่โรงแรม The Oasis เป็นโรงแรม ขนาดกลางๆ อยู่ริมทะเล อาคารเป็นตัวยูมีอยู่ 4 ชั้น ตรงกลางเป็นสระว่ายน้ำยาวมากสัก 30 เมตรได้แต่กว้างแค่ 3 เมตร ห้องอาหารโปร่งๆ ไม่ติดแอร์แต่ทุกโต๊ะมองเห็นทะเลได้คะ เอาของเก็บที่พักแล้วก็เริ่มเที่ยวกันเลยคะ เค้าพาไปดูวัดของฮินดูที่อยู่บนหน้าผา ที่บาลีนี้คนส่วนมากนับถือศาสนาฮินดู เทพเจ้าต่างๆ มีปนๆ กันทั้งเทพเจ้าท้องถิ่นกับเทพเจ้าที่มาจากฮินดูซึ่งเราคุ้นๆ ชื่ออยู่อย่างเช่น หนุมาน วิษณุ วัดที่ไกด์ (อ้อลืมบอกไปว่าไกด์ชื่อ Wayoung คะ) พาไปวันแรกมีลิงเยอะมาก ค่อนข้างดุด้วยคะ ชอบขโมยแว่นตา แว่นกันแดด หมวก กิ๊ฟติดผม พี่เอกวิทย์และภรรยา (ไกด์ เค้าเรียกว่า Mr.&Mrs. Chinowat) เลยต้องถอดแว่นตาเดิน ทางเดินไปวัดทำเป็นบันไดปูนมีรั้วสูงแค่หน้าอกเลียบหน้าผา ข้างทางมีต้นไม้ขึ้นเต็มไปหมด หนูสวยต้นผกากรองดอกสีส้มสดตรงกลางสีเหลืองดูสวยมากเลยคะ แล้วก็มีต้นพญาไร้ใบต้นใหญ่มากสูงท่วมหัวเลยคะ พี่เอกวิทย์เห็นเข้ารีบบอกให้เดินห่างๆ ห้ามจับ พี่เค้าบอกว่ายางมันเป็นพิษ "ไม่รู้จริงหรึเปล่า??" แต่หนูก็เดินเลี่ยงๆ ไปนะคะ

Tuesday, March 6, 2007

เรื่องเล่า เม้าท์ "น้าเอก"


ไปชลบุรีมา(ภาค๒)
ลุงวรรณ ที่รัก

หนูเล่าเรื่องไปชลบุรีต่อนะคะ ก่อนออกจากพนัสนิคมเราแวะตลาด อ.เอกได้ตะกร้าหวายใส่ขวดน้ำได้หกขวดสมใจ แถมไม้กวาดแข็งอีก 1 มัด มี 10 อันได้ แบ่งกับหนูคนละครึ่ง (นี้ก็กลับมาจากชลบุรีหลายวันแล้ว ไม้กวาดยังพิงฝาบ้านอยู่เลยค่ะ) จุดหมายต่อไปคือนาวิกโยธิน อ่าวเตยงาม สัตหีบ มีร้านอาหารแนะนำโดย อ.เอกวิทย์ สโมสรของนาวิกโยธินอยู่ริมทะเล น้ำทะเลที่นี้ใสมากสีสวย สีฟ้า สีเขียว สลับกันไปเป็นช่วงๆ ตรงร้านเป็นชายหาดที่ไม่มีหาดทรายมีแต่โขดหินเล็กๆ เต็มไปหมด นั่งทานข้าวอยู่หนูเห็นปลากระโดดด้วยค่ะ บอก อ.เอก ท่านถามว่าโลมารึเปล่าเพราะแถวนี้มีคนเห็นบ่อยๆ หนูว่าไม่น่าใช่ แต่สงสัยจะเป็นแซลมอนซ้อมว่ายน้ำกลับบ้าน เพราะตัวเล็กเวลาดีดตัวขึ้นจากน้ำจะพยายามพุ่งตัวไปข้างหน้า พร้อมสะบัดหาง ไปมาสองที ทำอย่างนี้ติดต่อกัน 3-4 ครั้ง คล้ายๆ กับท่าปลาแซลมอนเวลาว่ายทวนน้ำกลับไปวางไข่ที่ หนูเคยเห็นในทีวีเลยค่ะ
ต้องขอบอกว่าปูที่นี่สด เนื้อแน่นหวานม๊ากๆ (พี่จะว่าหนูเห็นชีวิตผู้อื่นเป็นสิ่งหอมหวานซิท่า) แต่ผงชูรสก็จัดทีเดียว ก่อนออกจากนาวิกโยธินเราขับรถขึ้นไปไหว้ศาลกรมหลวงชุมพรฯ หนูขอให้ท่านช่วยประเทศชาติให้สงบสุข (ซ้อมไว้ค่ะเผื่อปีนี้เฮียวรรณจะส่งหนูประกวดนางสาวไทย) รอบๆ ศาลมีรูปจำลองเรือรบหลวงจัดแสดงไว้ครบทุกลำเลยค่ะ เราปีนขึ้นไปบนจุดชมวิวมองลงมาเห็นอ่าวเตยงามทั้งหมด ถ้าใครยังไม่เข้าใจว่าลักษณะของอ่าวสำหรับหลบคลื่นลมที่ดี เป็นอย่างไร แนะนำให้มาดูได้ค่ะ เพราะปีกของอ่าวทั้งสองข้างโน้มเข้าหาจนเกือบถึงกัน ตรงกลางอ่าวมีเกาะเล็กๆ ตั้งอยู่ สังเกตุดูด้านของเกาะที่หันออกทะเลจะเป็นหน้าผาตัด คงรับลมเต็มๆ เลยค่ะ
จากนาวิกโยธินจุดหมายต่อไปเป็นวิหารเซียน หนูอยากไปดูค่ะเพราะเห็นในทีวีมีอะไรต่ออะไรให้ดูเยอะไปหมด ลุงวรรณเคยไปหรึเปล่าค่ะ วิหารเซียนเป็นอาคารสถาปัตยกรรมแบบจีนขนาดใหญ่ มองจากด้านนอกดูไม่ออกว่ามีกี่ชั้น ก่อนเข้าชมเราต้องซื้อบัตรผ่านประตูคนละ 50 บาท ตรงทางเข้ามีรูปหล่อ 8 เซียน ในท่วงท่าเฉพาะของแต่ละองค์ เห็นแล้วนึกถึงหนังจีนแปดเทพอสูรมังกรฟ้าที่เคยดูตอนเด็กๆ ประตูเข้าอาคาร เป็นไม้แกะสลักรูปมังกรสูงสองเมตร ให้สีสวยมากค่ะ เดินเข้ามาข้างในตั้งพระสังกะจาย 3 องค์ วางเรียงจากองค์เล็กไปใหญ่ ในวิหารเซียนทั้ง 3 ชั้น เต็มไปด้วยรูปหล่อสำริดเซียน อรหันต์ พระโพธิสัตว์ พระพุทธรูปเยอะไปหมด แต่ละองค์ขนาดเล็กๆ ก็เท่ากับคนตัวใหญ่ๆ บางองค์ก็มีประวัติก่อนมาเป็นเซียนให้คนมาเที่ยวได้อ่านด้วยนะคะ ดูๆ แล้วหนูเกิดความรู้ว่าเซียนก็คือคนธรรมดา ที่ทำความดีโดดเด่น หรือสงเคราะห์ผู้อื่นๆโดยไม่หวังผลตอบแทน จริงๆ แล้วคงเป็นกุศโลบายให้คนทำความดี ถึงแม้ว่าตอนมีชีวิตอยู่ทำดีไม่มีใครเห็น แต่พระเจ้าเห็นและจะตอบแทนให้อยู่สุขสบายบนสวรรค์เมื่อตายแล้ว (ส่วนพวกที่โกงเก่งๆ มีคนว่า “แม่งเซียนจริงๆ” คงคนละอย่างกันนะคะ)
จากวิหารเซียนเราขับรถเลยไปอีกนิดก็ถึง เขาชีจันทร์ ที่จริงเรามองเห็นเขาชีจันทร์ตั้งแต่อยู่บนชั้นสามของวิหารเซียน แล้วค่ะ เพราะจุดเน่นของที่นี้เป็นรูปพระพุทธรูป สกัดบนหน้าผาด้วยแสงเลเซอร์ แล้วตัดเส้นด้วยสีทอง มีคนมาเที่ยวบางตาค่ะ ส่วนมากเป็นกลุ่มทัวร์คนจีน วันนี้คนไทยไม่ค่อยเที่ยว (สงสัยเพราะเป็นอาทิตย์ปลายเดือนนะคะ)
สรุปว่าวันนี้ก่อนไปงานแต่งงาน อ.เปิ้ล ที่บางละมุง เราได้แวะเที่ยว 3 ที่ ถ้าถามหนูะคะหนูชอบ “ศูนย์จักสานขนาดใหญ่” ที่พนัสนิคมมากที่สุด เพราะบรรยากาศร่มรื่นมีกลิ่นไอดิน กลิ่นดอกไม้ เครื่องมือเครื่องใช้ที่วางไว้ดู ใกล้กับชีวิตความเป็นอยู่ของเรานะคะ ที่วิหารเซียนถึงแม้จะมีรูปสำริดเซียนอยู่เป็นร้อย แต่ก็ไม่ทำให้เกิดความสบายใจ ได้เท่ากับมองดูกล้วยไม้ดอกเล็กๆ ซักดอกเลยนะคะลุงวรรณ

ดนตรีในสวน(ลุมพินี)๒


อีกมุมหนึ่งของเทศกาลดนตรีในสวน

ลุมฯ ลุงวรรณถ่ายไว้

ดนตรีในสวน(ลุมพินี)

ไปดูดนตรีในสวนกับลุงเมื่อปีก่อน วันนี้เป็นการแสดงลำตัดแม่ประยูร เล่นได้ดีมาก อยากให้การแสดงแบบนี้คงอยู่ตลอดไป ทราบว่าตอนนี้ก็เริ่มมีดนตรีในสวนแล้ว วันอาทิตย์ และจะแสดงเรื่อยไปจนถึงเดือนพฤษภาคม

Monday, March 5, 2007

อยากเล่าให้ฟังบ้าง (ไปชลบุรีมา)

ลุง วรรณที่รัก

อ่านที่ลุงเล่าเรื่องลง blog แล้วหนูอยากเล่าเรื่องของหนูให้ฟังบ้าง เมื่อวันอาทิตย์ก่อนหนูไปชลบุรีมาจ๊ะ แวะไปเที่ยวพนัสนิคมด้วย ไปชลบุรีมาหลายครั้งไม่เคยแวะเข้าไปเลยค่ะ เพิ่งทราบว่าที่นี้เค้ามีชื่อเรื่องเครื่องจักสาน อ.เอกท่านอยากได้ตะกร้าหวายสำหรับใส่ขวดน้ำหกขวด เน้นนะคะว่าหกขวด หนึ่งก็ไม่ได้สี่ก็ไม่ได้ต้องหกเท่านั้น กว่าจะหาแหล่งขายได้ก็ขับรถวนไปวนมาในอำเภออยู่สองรอบ จนเจอป้ายบอกทางไปตลาดจักสานก่อนถึงตัวตลาดมีป้ายเล็กๆ เขียนว่า "ศูนย์เครื่องจักสานใหญ่ที่สุด" หนูรีบเลี้ยวรถเข้าไปเลยค่ะ คิดว่าเจอแหล่งขายส่งใหญ่ที่สุดแล้ว ใหญ่จริงๆ ค่ะหนูเคยไปที่อ่างทอง อยุธยา มาแล้วยังใหญ่สู้ที่นี้ไม่ได้เลย กระติบข้าว กระด้ง กระบุง เปล ดูๆ แล้วแต่ละใบน่าจะจุได้ห้า หกคน ของแต่ละอย่างชิ้นใหญ่จริงๆ เจ้าของคงเป็นคนที่ชอบทางด้านนี้มาก ที่ศูนย์จักสานนี้มีพื้นที่รอบๆ ไม่กว้างนัก กะๆ ด้วยสายตาน่าจะประมาณ 80 ตารางวาได้ แต่บรรยากาศดีมากพอเลี้ยวรถเข้าไปบนถนนโรยกรวด จอดรถได้ซักสองสามคัน รั้วข้างบ้านเป็นรั้วลวดหนามธรรมดาแต่ปลูกต้นไม้เต็มไปหมด หนูเลือกจอดรถใต้ต้นหางนกยูงต้นใหญ่ที่โคนถึงกลางต้น มีกล้วยไม้นับสิบวางไว้บนตอไม้(ที่ตายแล้ว)บ้าง แขวนไว้ตามต้นบ้าง แต่ที่น่าดูมากเพราะมีดอกแทบทุกต้นเลยค่ะหลายสีไปหมด ทั้งม่วงเข้ม ม่วงลาย ส้มสด ขาวขลิบแดง ฝั่งตรงข้ามกันทำเป็นอ่างน้ำพุไม่ใหญ่มากกว้างซักฟุตได้ รอบๆ อ่างมีกล้วยไม้วางไว้เต็มไปหมด ริมรั้วหน้าบ้านอีกด้านเป็นโรงโล่งๆ มีอุปกรณ์สาธิตการจักสาน มีรูปถ่ายคนที่แวะมาเที่ยวด้วยค่ะ
เดินตามสนามหญ้าเล็กๆ เข้าไปเป็นส่วนอาคารที่แสดงเครื่องจักสานขนาดใหญ่ จะว่าเป็นเรือนไทยก็ไม่ใช่ทีเดียว เพราะนอกชานเทปูนรอบมีหลังคาสูงวางเครื่องจักสานชิ้นใหญ่ได้หก เจ็ดชิ้น แต่ละชื้นสูงเมตรครึ่งเห็นจะได้วางอยู่บนแท่นปูนสูงครึ่งเมตร (เจ้าของคงกลัวโดนน้ำ หรึกลัวคนปีนลงไปเล่นเลยวางไว้สูงเชียว) หนูลองจับๆ เคาะๆ ดู กระบุงใบยักษ์แข็งมากเลยค่ะ สานด้วยเส้นหวายขนาดเซนต์หนึ่งได้ ทาทับด้วยเลคเกอร์อีกทีคงกันแมงกินมั๊งค่ะ ส่วนตัวเรือนเป็นเรือนไทยฝาไม้ขัดยกพื้นสูงต้องเดินขึ้นบันไดไปอีกห้าขั้น หนูชะโงกดูข้างในเป็นของใช้ในบ้าน (แต่ขนาดปกตินะคะ) พอลงบันไดมาเหลือบเห็น"สมุดเยี่ยม" พลิกๆ ดู มีคนมาเกือบทุกวันเลยค่ะ นานาชาติซะด้วย อย่างก่อนหน้าเรามาก็มีฝรั่งมาจากรัฐไอโอว่า บังคลาเกศ จีน ญี่ปุ่น ก็มีนะคะ ใครมาก็เขียนลงไป เจ้าของคงมีความสุขกับการพบปะผู้คนได้เล่าถึงวิธีทำเครื่องจักสานมากกว่าขายของนะคะ
สรุปว่าที่นี้ อ.เอกก็ยังไม่ได้ตะกร้าหวายที่ต้องการ มากัน 3 คน คงมีหนูคนเดียวที่เดินชื่นชมของพวกนี้ อีก 2 คนเค้ามัวแต่ถามทางไปซื้อของอยู่ สงสัยหนูจะเป็นพวกเสพความงามทางจิตใจมากกว่านะคะ (ความจริงคือไม่มีตังค์ อาศัยแค่ลูบๆ คลำๆ)

ติ๊ดตี่